หลังจากเราผิดบอร์ดไปตะกี้ -_____- " เราก็มาถูกที่(แล้วมั้ง ?) อ่ะเค เข้าเรื่อง
นิทานของบีเดิลยอดกวี (The Tales of Beedle the Bard) เป็นหนังสือนิทานเด็ก ที่แต่งโดย เจ. เค. โรว์ลิ่ง เพื่อเป็นหนังสือประกอบสำหรับนิยายในชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ โดยหนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือสมมติที่ถูกอ้างถึงใน แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ซึ่งเป็นนิยายเล่มสุดท้ายในชุดอีกด้วย
เดิมที เจ. เค. โรว์ลิ่ง ผู้เขียนได้จัดทำหนังสือเล่มนี้ขึ้นด้วยมือเพียง 7 เล่มในโลกเท่านั้น โดยหกเล่มนั้นเธอนำไปบริจาคให้กับ 6 สถานที่ที่ช่วยให้เธอประสบความสำเร็จ และอีกหนึ่งเล่มเธอนำไปประมูลขาย โดยก็มีผู้ร่วมประมูลมากมาย แต่ในที่สุดเว็บไซต์ Amazon ก็ได้ไปในราคาถึง 1.95 ล้านปอนด์ ซึ่งถือว่าเป็นการประมูลต้นฉบับงานเขียนยุคใหม่ที่ราคาสูงที่สุดในประวัติศาสตร์
หลังจากนั้น หนังสือฉบับพิมพ์ปกติก็ได้เริ่มวางขายให้แก่คนทั่วไปในวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 2551 สำหรับฉบับภาษาไทยนั้นจัดจำหน่ายโดยสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2551
สำหรับประวัติในโลกของแฮร์รี่ พอตเตอร์ ต้นฉบับของหนังสือบีเดิลยอดกวีเป็นหนังสือที่เก่าแก่มาก ฉบับพิมพ์ปัจจุบัน (ในโลกของแฮร์รี่ พอตเตอร์) นั้นพิมพ์หลังจากเหตุการณ์ในแฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ผู้เรียบเรียงคือเฮอร์ไมโอนี่ ซึ่งได้มาจากพินัยกรรมของดัมเบิลดอร์
นิทานของบีเดิลยอดกวีมีนิทานทั้งหมด 5 เรื่องด้วยกัน เรื่องที่ไม่เคยถูกกล่าวถึงในนิยายชุดหลักของแฮร์รี่ พอตเตอร์คือเรื่อง หัวใจขึ้นขนของผู้วิเศษ เพียงเรื่องเดียว
นิทาน 5 เรื่องมีดังนี้ค่ะ
1 พ่อมดกับหม้อกระโดดได้
2 น้ำพุแห่งโชคดีทีเดียว
3 หัวใจขึ้นขนของผู้วิเศษ
4 แบ๊บบิตตี้ แร๊บบิตตี้ กับตอไม้หัวเราะได้
5 นิทานสามพี่น้อง
เรื่องแรก ก็จะเป็นเกี่ยวกับ พ่อมดที่คอยรักษาคนน่ะค่ะ เขาได้ใช้หม้อของเขาปรุงยาสารพัดชนิดเพื่อช่วยเหลือผู้คนที่ต้องการความช่วยเหลือจากเขา แต่พอเขาตายลง ทรัพย์สินทุกอย่างของเขา ก็ตกไปสู่ลูกชายน่ะค่ะ ซึ่งลูกชายของเค้าเนี่ย เป็นคนใจหยาบ แตกต่างจากผู้เป็นพ่อมาก ๆ พอมีคนมาขอความช่วยเหลือจากเขา เขาก็จะปฏิเสธน่ะค่ะ แล้วก็ คนแรกที่มาขอร้องเขา คือ ลูกเป็นหูด แต่เขาก้ไม่ช่วย หม้อก็จะมีหูดขึ้น แล้วก็มี อะไร ๆ ๆ ขึ้นมาเยอะแยะ แล้วหม้อก็มีขาออกมา เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเรื่อยๆ จนเขาทนไม่ไหว เขาจึงไปตระเวนหาเพื่อนบ้านเพื่อที่จะช่วยเหลือพวกเขา และเมื่อปัญหาของแต่ละคนสิ้นหายไป อาการของเจ้าหม้อก็ดีขึ้นไปตามกันจนในที่สุดรองเท้าแตะปรากฏขึ้นในหม้ออีกครั้ง รองเท้าแตะที่เท้าของหม้อใส่ได้พอดิบพอดีและทั้งเจ้าลูกชายกับหม้อก็เดินลับตา
เรื่องที่สองน่ะค่ะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับน้ำพุ คือมีน้ำพุแห่งหนึ่งเป็นที่รู้จักกันในหมู่พ่อมดแม่มดและมักเกิ้ล ทุกๆคนพยายามที่จะขอพรจากน้ำพุ และที่นี้เป็นจุดนัดพบของแม่มด สาม คน แม่มดคนแรกมีนามว่า “แอชา” ซึ่งกำลังป่วยด้วยโรคที่ไม่มีผู้บำบัดคนใดจะสามารถรักษาได้ แม่มดคนที่สองมีนามว่า “อัลเทดา” ซึ่งถูกพ่อมดปล้นและทำให้ขายหน้า หล่อนหวังว่าน้ำพุนี้จะช่วยรักษาความรู้สึกไร้ค่าและความจนของเธอได้ แม่มดคนที่สามมีนามว่า “อมตา” ซึ่งถูกทอดทิ้งโดยคนรักของหล่อนและหวังว่าน้ำพุจะสามารถรักษาอาการโศกเศร้าและความโหยหาของหล่อนได้
ทั้งสามตัดสินใจว่าจะลองพยายามที่จะไปน้ำพุแห่งนี้ด้วยกัน มีอัศวินคนหนึ่งที่เสื้อของอมตาไปเกี่ยวกับโล่จึง ได้มาร่วมเดินทางไปกับพวกเธอ ในตอนแรกนั้น แม่มดอีกสองคนนั้นไม่เห็นด้วย เพราะว่ามีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถอาบน้ำพุแห่งโชคดีจอมปลอมได้
ในที่สุดทั้งสี่ก็เดินทางไปด้วยกันระว่างทางนั้นพวกเขาก็พบด่านสามด่าน ด่านแรกคือหนอนยักษ์ตาบอดตัวอ้วนป่องที่สั่งให้พวกเขาพิสูจน์ความทุกข์ทรมาน หลังจากที่พยายามจะปราบเจ้าหนอนยักษ์ด้วยเวทมนตร์ซึ่งไร้ผล น้ำตาของ “แอชา” ก็เป็นที่พึงพอใจต่อเจ้าสัตว์ดังกล่าว หลังจากนั้นพวกเขาได้พบกับทางลาดลึกและถูกสั่งให้มอบ ‘ของที่ได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรง’ เป็นราคาค่าทางผ่าน
เมื่อผ่านด่านที่สองมาแล้วทั้งหมดก็ได้พบกับแม่น้ำ และข้อแลกกับทางผ่านก็คือ ‘สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในอดีตของท่าน’ “อมตา” ใช้ไม้กายสิทธิ์ของนางดึงความทรงจำเกี่ยวกับของคนรักออกมาแล้วปล่อยมันทิ้งลงไปในน้ำและก้อนหินหลายก้อนก็โผล่ขึ้นมาเป็นทางข้ามแด่ผู้เดินทางทั้งสี่
เมื่อมาถึงน้ำพุ พวกเขาต้องตัดสินใจว่าใครที่จะเป็นคนอาบน้ำพุนี้ “แอชา” เป็นลมล้มไปด้วยความเหนื่อยเจียนตาย “อัลเทดา” ปรุงยาเพื่อที่จะรักษาเธอ ยาตัวนี้ไม่เพียงแค่ทำให้ “แอชา” ลุกขึ้นยืนบนเท้าทั้งสองข้างได้อีกครั้ง แต่ก็สามารถรักษาโรคของหล่อนอีกด้วยดังนั้น “แอชา” จึงไม่ต้องการน้ำพุอีกต่อไป
“อัลเทดา” รู้ว่าเธอมีอำนาจที่จะช่วยรักษาผู้อื่นและพบหนทางที่จะหาเงิน ดังนั้น หล่อนเองก็ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำพุอีก แม่มดคนที่สามซึ่งก็คือ “อมตา” นั้นก็รับรู้เช่นกันว่า หลังจากที่หล่อนทิ้งความทรงจำไปในแม่น้ำ หล่อนก็สามารถมองเห็นคนรักเก่าของเธอในอย่างที่เขาเป็น ซึ่งก็คือโหดร้ายและไร้ซึ่งความเลื่อมใส ทำให้หล่อนเองก็ไม่ต้องการน้ำพุ หล่อนจึงมอบโอกาสนี้ให้กับอัศวิน
อัศวินซึ่งแปลกใจกับความโชคดีของเขาได้อาบน้ำพุ และจากเสื้อเกราะที่ขึ้นสนิมของเขา อัศวินอ้อนวอนขอ ‘มือและหัวใจ’ ของ “อมตา” ซึ่งพบว่าในที่สุดก็ได้เจอชายที่มีค่าพอสำหรับเธอ เมื่อแต่ละคนได้สมหวังกับความฝันแล้ว ก็เป็นอันว่าแท้จริงแล้วนั้นน้ำพุดังกล่าวไม่ได้มีเวทมนตร์อะไรเลย
เรื่องที่สาม น่ะค่ะ เป็นเรื่องที่ไม่มีอยู่ในแฮร์รี่พอตเตอร์ค่ะ
เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของผู้วิเศษหนุ่มและหล่อเหลาคนหนึ่ง ซึ่งตัดสินใจว่าเขาจะไม่มีวันยอมตกหลุมรักใครเด็ดขาด เขาใช้ศาสตร์มืดเพื่อป้องกันตนเองจากการตกหลุมรัก ตระกูลของเขาไม่ได้ทำอะไรเพื่อยับยั้งการกระทำครั้งนี้ เพราะมั่นใจว่าสักวันจะมีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาเปลี่ยนความคิดของเขา หากแต่เวลาผ่านไป ญาติพี่น้องของชายหนุ่มได้แต่งงานพร้อมๆ กับที่ความโง่เขลาของเขาได้เพียงแค่เพิ่มขึ้นเท่านั้น
ต่อมาในวันหนึ่ง ชายหนุ่มแอบได้ยินคนรับใช้สองคนพูดถึงการที่เขาไม่มีคู่ครอง ชายหนุ่มจึงตัดสินใจว่าจะหาผู้หญิงที่เก่ง ร่ำรวยและสวยงามมาแต่งงานกับเขาเพื่อที่ทุกคนจะได้พากันอิจฉา
นับว่าโชคดีนักที่ชายหนุ่มได้พบกับหญิงสาวดังกล่าวในวันต่อมา แม้ว่าหญิงสาวนั้นทั้งทึ่งและรังเกียจเขา ชายหนุ่มก็สามารถชี้ชวนให้เธอมาร่วมทานเลี้ยงมื้อค่ำที่ปราสาทของเขาจนได้ ระหว่างทานเลี้ยง หญิงสาวบอกเขาว่าเธอจะเชื่อมั่นในตัวเขาก็ต่อเมื่อเธอรู้ว่าเขานั้นมีหัวใจ ผู้วิเศษจึงพาเธอไปยังคุกใต้ดินและชี้ให้เธอดู หัวใจขนรุงรังที่กำลังเต้นอยู่ในกล่องแก้วคริสตัล แม่มดสาวนั้นหวาดกลัวมากและขอร้องให้เขานำมันไปเก็บเสีย เมื่อผู้วิเศษทำตามที่นางขอ หญิงสาวก็กอดเขาไว้และชายหนุ่มก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจที่สามารถรู้สึกถึงความรัก หากแต่เพราะว่าหัวใจนั้นได้ห่างจากร่างกายของเขามานาน ความสวยงามและรอยกลิ่นหอมของแม่มดสาวได้แทงทะลุมันเสียสิ้น
ต่อมาแขกทั้งหลายก็ได้มาพบแม่มดสาวกับผู้วิเศษนอนสิ้นใจอยู่ในคุกใต้ดินและเห็นมือข้างหนึ่งที่ในมือของผู้วิเศษมีหัวใจของแม่มดสาวอยู่ส่วนมืออีกข้างก็ถือไม้กายสิทธิ์
(ออกแนวโหด - -")
เรื่องที่สี่น่ะเกี่ยวกับพระราชากับการตามล่าแม่มด ทำนองนั้นอ่ะค่ะ
มีพระราชาพระองค์หนึ่งเป็นพระราชาที่โง่เขลาและมีพระประสงค์ต้องการเก็บเวทมนตร์ทั้งหมดไว้กับพระองค์เอง และสั่งกองทัพล่าแม่มดหากแต่ว่าการนี้จะสำเร็จก็ต่อเมื่อพระองค์สามารถแก้ปัญหาสองประการได้เสียก่อน
ประการแรกก็คือ พระองค์ต้องรวบรวมเหล่าแม่มดทุกคนในอาณาจักรและประการที่สองพระองค์ก็จะต้องทรงเรียนรู้การใช้เวทมนตร์ และระหว่างที่พระองค์ทรงรวมกำลังกองพันทหารเพื่อออกตามล่าเหล่าแม่มดนั้นพระองค์ก็ได้รับสั่งหาผู้สอนเวทมนตร์อีกด้วย แต่ไม่มีใครตอบรับเป็นผู้สอนให้แก่พระองค์เพราะในระหว่างนั้นเหล่าแม่มดกำลังหลบหนีจากกองทหารนอกจาก ‘นักต้มตุ๋น’ ผู้ซึ่งไร้อำนาจเวทมนตร์ใดๆ ทำได้เพียงแค่เล่นกลธรรมดา และขอเงินขอทองพร้อมๆ กับทูลพระองค์ว่า ทั้งหมดนั้นจำเป็นในการร่ายคาถา
‘แบ๊บบิตตี้’ หญิงรับจ้างปักเสื้อผ้าของพระราชาเริ่มส่งเสียงหัวเราะระหว่างที่ดูพระราชากับนักต้มตุ๋นพยายามร่ายเวทมนตร์คาถาจากกระท่อมของเธอ ซึ่งทำให้พระองค์ทรงกริ้วเป็นหนักหนา ดังนั้นจึงมีรับสั่งว่าทั้งสองจะแสดงเวทมนตร์ต่อหน้าผู้คนในวันรุ่งขึ้นและหากผู้ใดบังอาจกล้าหัวเราะเยาะพระองค์เสียล่ะก็ นักต้มตุ๋นจะถูกตัดหัวทิ้งทันที
นักต้มตุ๋นไปที่กระท่อมของแบ๊บบิตตี้ และไปแอบเห็นเธอร่ายเวทมนตร์เข้า เขาจึงขอความช่วยเหลือจากเธอ ไม่อย่างนั้นเขาจะนำตัวเธอส่งพวกทหาร นักต้มตุ๋นบอกว่าระหว่างการแสดงกลของพระราชานั้นให้เธอไปหลบซ่อนอยู่ในพุ่มไม้แล้วร่ายเวทมนตร์ให้พระราชา และนางก็ตอบตกลง วันต่อมาเมื่อทุกอย่างกำลังไปได้ด้วยดีนั้นกัปตันของเหล่าทหารก็เข้ามาพร้อมกับสุนัขที่ตายแล้วตัวหนึ่งและบอกให้พระราชาทำให้สุนัขตัวนี้ฟื้นกลับคืนชีพมาให้ได้ แบ๊บบิตตี้ ที่รู้ดีว่าแม้กระทั่งเวทมนตร์ก็ไม่สามารถพาอะไรกลับมาจากความตายได้ทั้งสิ้น จึงไม่พยายามที่จะช่วยเหลือพระราชา และเป็นเหตุให้เหล่าฝูงชนหัวเราะเยาะพระองค์เพราะพากันคิดว่าเวทมนตร์คาถาที่พระองค์ร่ายในตอนเริ่มแรกนั้นเป็นเพียงแค่กลอุบาย
นักต้มตุ๋นที่ตื่นกลัวก็รีบชี้ไปที่ที่ แบ๊บบิตตี้ ซ่อนตัวอยู่และบอกว่านังแม่มดนั่นกำลังกลั่นแกล้งพระองค์โดยเสกมนต์กันจึงทำให้คาถาไม่ทำงานแบ๊บบิตตี้ จึงวิ่งหนีจากพุ่มไม้แล้วหายตัวไปในป่าตรงใต้ตอต้นไม้แก่ๆ นักต้มตุ๋นที่กำลังจนตรอกเต็มทีร้องบอกว่านังแม่มดได้กลายร่างเป็นต้นไม้และสั่งให้ตัดต้นไม้นี้ทิ้งเสียนางจะได้ตาย
เมื่อผู้คนเริ่มพากันกลับบ้าน ตอไม้ก็ส่งเสียงหัวเราะก่อนจะจัดการทำให้นักต้มตุ๋นยอมรับความจริงทุกสิ่งว่าแท้แล้วเขานั้นไม่มีเวทมนตร์เลย ตอไม้ส่งเสียงอีกครั้งและสั่งให้พระราชาห้ามทำร้ายผู้มีเวทมนตร์อีกเป็นอันขาดและให้พระองค์สร้างรูปปั้นของแบ๊บบิตตี้บนตอไม้นี้เพื่อที่จะได้ย้ำเตือนความโง่เขลาของพระองค์
เพราะความกลัวพระราชาจึงยอมปฏิบัติตามคำสั่งของตอไม้ และเดินทางกลับพระราชวัง โดยไม่มีใครทันสังเกตเห็น กระต่ายแก่ตัวป้อมๆ ที่กระโดดออกจากโพรงใต้ตอไม้แล้วเดินออกจากอาณาจักรไป
เรื่องสุดท้ายค่ะ รู้สึกจะอยู่ในแฮร์รี่ เล่ม 7 น่ะค่ะ ถ้าจำไม่ผิด -____- ''
ชายสามพี่น้อง กำลังเดินทางไปตามถนนที่คดเคี้ยวและเปล่าเปลี่ยวในยามเย็น สามพี่น้องได้มาถึงแม่น้ำซึ่งลึกเกินกว่าจะเดินลุยข้าม และเชี่ยวกรากเกินกว่าจะว่ายข้ามไป แต่พี่น้องทั้งสามคนเป็นพ่อมด พวกเขาจึงเสกสะพานขึ้นมา แต่พอข้ามไปถึงกึ่งกลางสะพาน ยมทูตได้ปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา
ยมทูตโกรธมากที่ไม่ได้วิญญาณกลับไป เพราะนักเดินทางส่วนมากจะตกน้ำแต่ด้วยความมากเล่ห์ เขาแสร้งทำเป็นยินดีกับสามพี่น้อง และบอกว่าทั้งสามควรได้รับรางวัล ในฐานะที่ฉลาดพอจะหลบเลี่ยงยมทูตได้ พี่ชายคนโตเป็นคนชอบต่อสู้ ขอไม้กายสิทธิ์ที่มีอำนาจเหนือกว่าไม้ใดๆ ในโลก ยมทูตจึงข้ามไปเด็ดกิ่งต้นเอลเดอร์ซึ่งขึ้นอยู่ริมตลิ่งออกมาทำไม้กายสิทธิ์ให้พี่ชายคนโต
พี่คนรองอยากทำให้ยมทูตอับอายขายหน้ามากขึ้นอีก จึงขออำนาจที่จะเรียกใครก็ได้กลับมาจากความตาย ยมทูตจึงหยิบหินก้อนหนึ่งขึ้นมาจากริมฝั่ง และมอบให้พี่ชายคนรอง บอกเขาว่าหินก้อนนี้มีอำนาจนำคนตายกลับมาได้
น้องคนสุดท้องเป็นคนถ่อมตัวที่สุด และฉลาดที่สุดในบรรดาพี่น้องสามคน เขาไม่เชื่อใจยมทูตจึงขออะไรก็ได้ที่จะทำให้ยมทูตไม่สามารถติดตามเขาไปได้ ยมทูตจึงมอบผ้าคลุมล่องหนของตนให้ด้วยความไม่เต็มใจ จากนั้นยมทูตก็หลีกทาง ปล่อยให้สามพี่น้องเดินต่อไป พวกเขาพูดคุยถึงการผจญภัย และของขวัญจากยมทูต แล้วสามพี่น้องก็แยกทางกัน
พี่คนโตเดินทางไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขาท้าประลองกับพ่อมดที่เคยมีเรื่องวิวาทด้วย และเอาชนะมาได้ เขาเดินไปยังโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง แล้วคุยโวเรื่องไม้กายสิทธิ์อันนั้น ในคืนนั้นจึงมีพ่อมดมาขโมยไม้กายสิทธิ์ไป แถมยังเชือดคอพี่ชายคนโต ยมทูตจึงได้พี่ชายคนโตไป
น้องคนรองเดินทางกลับบ้านของตนเอง เขาหมุนหินชุบวิญญาณในมือสามครั้ง แล้วร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งก็โผล่ออกมา เธอจนคนรักของน้องรอง และกำลังจะได้แต่งงานแต่ต้องมาตายเสียก่อน แต่เธอกลับห่างเหินและเย็นชา ทำให้น้องคนรองกลายเป็นบ้าและฆ่าตัวตาย ยมทูตจึงได้น้องคนรองไป
ส่วนน้องคนที่สาม ได้สวมผ้าคลุมล่องหนตลอดเวลา ทำให้ยมทูตซึ่งแม้จะพยายามตามหาเขาสักเท่าไรก็หาไม่เจอ ในที่สุดเมื่อผู้เป็นน้องชรามากแล้ว เขาจึงมอบผ้าคลุมให้ลูกชาย และเดินทางไปกับยมทูตในฐานะผู้เสมอกัน
ก็ ใครอยากจะอ่านเต็ม ๆก็ หาซื้อได้น่ะค่ะ แต่ก็ไม่ทราบว่ามีที่ไหนบ้างเหมือนกัน ตอนนั้น เราไปยืนอ่านที่ B2S จบเล่มเลย แบบว่า พนักงานหันมามองหน้า เล่มไม่หนาน่ะค่ะ เป็นปกแข็ง ราคาจำไม่ได้ค่ะ ขอโทษด้วย มีประมาณเกือบ ๆ160 หน้า ค่ะ แต่อาจจะยากนิดหน่อย คือมันพิมพ์มานานแล้วอ่ะค่ะ